วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ศาสนายิว

ประวัติความเป็นมาของศาสนายิว

ศาสนายิว เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาศาสนาเอกเทวนิยมที่ยังมีชีวิตอยู่ ศาสนายิวเกิดประมาณ 957-657 ก่อนพุทธศักราช โดยคิดตามสมัยของโมเสส ผู้เป็นศาสดาของศาสนานี้ แต่ถ้าจะว่าตามความเชื่อของชาวยิวแล้วศาสนายิวเกิดตั้งแต่สมัยอับรามหรืออับราฮัม หรือที่ศาสนาอิสลามเรียกว่าอิบราฮิมแล้ว คือประมาณ 1,500 ปีก่อนพุทธศักราช ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ศาสนายิวเป็นศาสนาของชนชาติยิวหรือที่เรียกกันว่าเฮบรู (Hebrew) ในสมัยโบราณ คำว่า ยูดา มาจากคำว่า จูดา และคำว่า ยิว มาจากคำว่า จูเดีย ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวเปอร์เซียหรืออิหร่านเรียก ประวัติย่อของชนชาติยิวมีว่า เป็นชาติที่เลี้ยงสัตว์ จึงต้องต้อนฝูงปศุสัตว์ไปหากินในถิ่นต่างๆ ชาวยิวจึงเป็นพวกเร่ร่อน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อพยพเรื่อยไป ครั้นเข้าไปถิ่นไหนถิ่นนั้น ก็รังเกียจขับไล่ไม่ยอมให้อยู่ แม้แต่คำว่า เฮบรู ก็เป็นคำที่ชาวคานาอัน ตั้งให้ อันมีความหมายว่า พวกต่างถิ่น พวกเร่ร่อน หรือพวกมาจากฟากโน้น ชาวยิวอพยพไปเรื่อยๆ เพื่อหาอาหารให้ปศุสัตว์ แต่ยิ่งเร่ร่อนก็ยิ่งน้อยใจที่ไม่มีประเทศของตนอยู่ ผิดกับเผ่าอื่นๆอีกทั้งจำนวนประชากรยิวก็เพิ่มมากขึ้นทุกที ปัญหาเหล่านี้ทำให้หัวหน้าหมู่ชาวยิวคิดหนักทำอย่างไรยิวจึงจะมีประเทศอยู่ ทำอย่างไรชาวยิวจะมีอาหารเพียงพอไม่อดตาย ต่อมามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นแก่ชาวยิว คือสมัยที่ชาวยิวมีอับราฮัมเป็นหัวหน้าหมู่ อับราฮัมได้บอกชาวยิวว่า พระเจ้ามาหาตน พระองค์ได้ตรัสว่า พระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียว และทรงเป็นเทพเจ้าของชาวยิว พระองค์ทรงเลือกชาวอิสราเอลหรือชาวยิวเป็นประชากรของพระองค์ พระเจ้าทรงสั่งให้อับราฮัมอพยพออกจากถิ่นที่อยู่คือเมืองเออร์หรืออูร์ (Ur) ในแคว้นคาลเดีย ซึ่งตั้งอยู่แถบเมโสโปเตเมีย ไปอยู่ในดินแดนที่พระองค์จะประทานให้ แล้วจะทรงทำให้ชาวยิวเป็นชาติใหญ่ ชาติสำคัญของโลกดังที่พระองค์ตรัสว่า

"เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง เลื่องลือไกล แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า"

อับราฮัมซึ่งตอนนั้นอายุ 75 ปีแล้ว ก็ได้พาชาวยิว ออกจากถิ่นเดิมมุ่งสู่แผ่นดินสัญญาหรือแผ่นดินที่พระเจ้าจะประทานให้แก่ชาวยิว อับราฮัมพาชาวยิวเดินทางมาเรื่อยๆ จนมาถึงแผ่นดินคานาอัน พระเจ้าจึงมาปรากฏแก่อับราฮัมและตรัสว่า1ดินแดนนี้เราจะยกให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าŽ ชาวยิวอยู่ที่คานาอันระยะหนึ่งต่อมาเกิดทุพภิกขภัย ชาวยิวอดอยากลำบากมากอับราฮัมจึงพาชาวยิวออกเดินทางต่อไปจนถึงประเทศอียิปต์ อับราฮัมได้พาซาราย หรือต่อมาเรียกว่าซาร่าห์ ภรรยาของตนไปด้วย และเนื่องจากซาราห์เป็นคนสวยมาก หากอับราฮัมบอกแก่ชาวอียิปต์ว่าเป็นภรรยาของตนก็เกรงจะมีอันตราย จึงได้บอกว่าเป็นน้องสาวเมื่อฟาโรห์หรือกษัตริย์ของอียิปต์ทอดพระเนตรเห็นซาราห์ก็ทรงพอพระทัยรับไว้เป็นชายาและทรงโปรดปรานนางมาก ทำให้พระองค์โปรดลงมาถึงอับราฮัมที่มีน้องสาวสวยด้วยโดยพระราชทานสิ่งต่างๆ ให้แก่อับราฮัมอย่างมากมาย แต่ต่อมาทรงทราบว่าซาร่าห์เป็นภรรยาของอับราฮัม จึงไม่พอพระทัยที่ถูกหลอกจึงให้อับราฮัมและซาร่าห์พร้อมด้วยชาวยิวออกจากอียิปต์ อับราฮัมจึงพาชาวยิวกลับมาอยู่ที่คานาอันอีก อับราฮัมไม่มีบุตรกับซาราห์ซาราห์จึงยกสาวใช้ของตนชื่อฮากาห์ให้เป็นภรรยาของอับราฮัม ต่อมาฮาการ์มีบุตรคนหนึ่งชื่ออิสมาเอล ส่วนซาร่าห์ต่อมาก็มีบุตรคนหนึ่งชื่ออิสอัคหรือไอแซค (Isaac)

อับราฮัมได้ชื่อว่าเป็นปฐมบรรพบุรุษของชาวยิวและเป็นคนแรกของชาวยิวที่เปลี่ยนจากการนับถือเทพเจ้าจำนวนมากตามที่เชื่อกันในสมัยนั้น มาเป็นนับถือพระเจ้าองค์เดียว และพยายามชักชวนให้ชาวยิวมานับถือพระเจ้าองค์เดียวเหมือนตนด้วย อับราฮัมมั่นคงในพระเจ้าที่ตนนับถือมาก อย่างเช่นเมื่อพระเจ้าลองใจให้ฆ่าไอแซคบุตรของตนเป็นเครื่องเซ่นสังเวยพระองค์ อับราฮัมก็ตกลงทำตาม แต่ขณะที่อับราฮัมกำลังจะฆ่าลูกนั้น พระเจ้าก็ได้มาปรากฏและบอกว่าเป็นเพียงการลองใจเท่านั้น ไม่ต้องการให้ฆ่าจริงๆ และทรงเชื่อแล้วว่าอับราฮัมศรัทธาและภักดีต่อพระองค์จริง ว่าแล้วก็ทรงอวยพรให้อับราฮัมและชาติยิวเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเหตุนี้อับราฮัมจึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งศรัทธาในศาสนายิว และเมื่ออับราฮัมอายุได้ 99 ปี พระเจ้าก็ได้มาปรากฏแก่อับราฮัมอีก และตรัสว่า "เราจะให้ดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่นี้ คือแผ่นดินคานาอันทั้งสิ้นแก่เจ้าและแก่เชื้อสายของเจ้าที่จะสืบมา ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดรและเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า" แต่พระเจ้าก็มีข้อแม้ว่าชาวยิวจะต้องจงรักภักดีต่อพระองค์ตลอดไป และชาวยิวจะต้องทำพิธีกรรมบางอย่างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า เป็นผู้มั่นคงต่อพระเจ้าเป็นคนของพระเจ้านั่นก็คือทำพิธีสุหนัต ผู้ชายทุกคนต้องทำพิธีสุหนัต ใครไม่ทำก็แสดงว่า ไม่นับถือพระองค์ ดังพระดำรัสว่า

"เจ้าและพงศ์พันธุ์ของเจ้า จะต้องรักษาพันธสัญญาของเราไว้คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุหนัต เจ้าจงเข้าสุหนัตตัดหน้งหุ้มปลายองคชาติของเจ้า นี่จะเป็นเครื่องหมายสำคัญของพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า ผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 8 วัน จะต้องเข้าสุหนัต ชายคนไหนไม่ได้เข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มองคชาติจะต้องถูกตัดจากชนชาติของเขา เขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา"

อับราฮัมจึงจัดทำพิธีให้ชายชาวยิวทุกคนเข้าสุหนัต แม้ตัวอับราฮัมเองซึ่งมีอายุ 99 ปีแล้วก็เข้าทำสุหนัตพร้อมกับอิสมาเอลบุตรชาย เรื่องเข้าสุหนัตนอกจากจะเป็นพิธีสำคัญในศาสนายิวแล้วยังถือเป็นเรื่องจริงจังที่จะต้องทำในศาสนาอิสลามอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพราะศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ได้วิวัฒนาการมาจากศาสนายิว แต่ทว่าศาสนาคริสต์ไม่ได้ให้ความสำคัญในพิธีนี้นัก อับราฮัมได้ปกครองชาวยิวเรื่อยมาจนสิ้นชีวิต อัสอัคหรือไอแซคก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหมู่ชาวยิวต่อมา ไอแซคแต่งงานกับเรเบคาห์และมีบุตรชาย 2 คน คือคนพี่ชื่อ เอซาว ส่วนคนน้องชื่อ ยาโคบ หรือยาคอบ เรบาคาห์รักลูกคนเล็กมาก จึงสนับสนุนให้เป็นหัวหน้าหมู่ หากสิ้นไอแซคแล้ว ทำให้เอซาวไม่พอใจจึงหาทางทำร้ายยาคอบ จนบิดามารดาเห็นว่าขืนให้ยาคอบอยู่จะเป็นอันตราย จึงส่งไปอยู่กับลุงชื่อ ลาบัน ที่เมืองฮาราน พี่ชายของเรเบคาห์ ต่อมายาคอบได้ลูกสาวทั้ง 2 คน ของลาบันเป็นภรรยา โดยบุตรสาวคนโตชื่อเลอาห์ ส่วนคนน้องชื่อราเซล และต่อมายาคอบได้ภรรยาอีก 2 คนซึ่งก็เป็นสาวใช้ของเลอาห์และราเซลนั่นเอง ยาคอบจึงมีบุตรถึง 12 คน จากภรรยาทั้ง 4 และบุตรทั้ง 12 คนนั้นก็เป็นต้นตระกูล 12 เผ่าของชาวอิสราเอล หรือที่เรียกในกาลต่อมาว่า อิสราเอลลิต หรือลูกอิสราเอล เฉพาะราเซลผู้เป็นภรรยาที่ยาคอบ โปรดปรานมากก็มีบุตร 2 คน คือ โยเซฟ และเบนโอนี่ หรือเบนยามิน ยาคอบได้อยู่ที่ฮารานหลายปีจึงเดินทางกลับภูมิลำเนา ขณะที่ยาคอบเดินทางไปคืนดีกับเอซาวพี่ชายของตนนั้น คืนหนึ่งได้มีบุรุษคนหนึ่งมาปล้ำกับยาคอบ ปล้ำกันจนเกือบสว่างก็ยังไม่มีใครชนะ บุรุษนั้นคือพระเจ้า พระองค์จึงประทานชื่อใหม่แก่ยาคอบว่า อิสราเอล ซึ่งแปลว่าผู้ปล้ำสู้กับพระเจ้า แต่บางตำราก็แปลว่าผู้มั่นคงต่อพระเจ้า เพราะฉะนั้นชาวยิวจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า อิสราเอล ยาคอบโปรดโยเซฟมาก และต้องการมอบตำแหน่งหัวหน้าหมู่ชาวยิวให้แก่โยเซฟ ทำให้พี่น้องคนอื่นๆ ริษยาหาทางทำร้ายโยเซฟ และเมื่อสบโอกาสจึงได้จับโยเซฟขายให้พ่อค้าเมืองมีเดียน และต่อมาพ่อค้าผู้นั้นได้นำโยเซฟไปขายกับโปทิฟาร์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ของฟาโรห์แห่งอียิปต์อีกต่อหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้โยเซฟจึงตกเป็นทาสอยู่ในอียิปต์ ได้รับความลำบาก แต่ต่อมาได้อาศัยวิชาโหราศาสตร์ที่ตนมีความชำนาญอยู่ไต่เต้าขึ้นไปเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีแห่งอียิปต์ เรื่องย่อมีอยู่ว่า1คืนหนึ่งฟาโรห์หรือกษัตริย์อียิปต์สุบินไปว่า ขณะที่พระองค์ประทับอยู่บนฝั่งแม่น้ำไนล์ ก็ทรงเห็นโคอ้วน 7 ตัว ผุดขึ้นจากแม่น้ำไนล์ขึ้นมากินใบอ้อแล้วก็มีโคผอมรูปร่างอัปลักษณ์อีก 7 ตัว โผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์เช่นกัน แล้วได้กินโคอ้วนทั้ง 7 ตัว ฟาโรห์ทรงตกพระทัยตื่นบรรทม แต่ยังทรงง่วงนอนอยู่จึงทรงหลับอีกและก็ทรงสุบินอีกว่า ทรงเห็นต้นข้าวต้นเดียวมีรวง 7 รวง แต่ละรวงดกด้วยเมล็ดข้าวที่เต่งตึง แต่ครู่ต่อมาก็ทรงเห็นข้าวต้นนั้นมีรวงงอกออกมาอีก 7 รวงด้วยกัน แต่ทว่าแต่ละรวงมีแต่เมล็ดข้าวลีบไม่มีเนื้อ และเตรียมไหม้เพราะลมตะวันออก และแล้วรวงข้าวลีบ ก็ได้กินรวงข้าวดีทั้งหมด ฟาโรห์ทรงตกพระทัยมาก จึงทรงมีรับสั่งให้โหรหลวงมาทำนายสุบิน แต่ก็ไม่มีใครทำนายได้ มีคนกราบทูลว่ายังมีอีกคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เขามีความสามารถทำนายความฝันได้แม่นยำมาก คงจะช่วยทำนายได้ ฟาโรห์จึงมีรับสั่งให้โยเซฟเข้าเฝ้าทำนายฝัน โยเซฟจึงทำนายว่า พระสุบินของพระองค์ทั้ง 2 เรื่อง หมายถึงอย่างเดียวกัน โคอ้วนพี 7 ตัว หมายถึงปีที่อุดมสมบูรณ์ 7 ปี และรวงข้าวดี 7 รวง ก็หมายถึงปีที่อุดมถึง 7 ปี เช่นกัน ส่วนโคผอม 7 ตัว หมายถึงปีที่อดอยาก 7 ปี และรวงข้าวลีบ 7 รวง ก็หมายถึงปีแห้งแล้งอดอยากถึง 7 ปีเช่นกัน ข้อนี้หมายความว่าประเทศอียิปต์จะมีฝนตกมาก ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ติดต่อกันถึง 7 ปีเช่นกัน แต่หลังจากนั้นจะเกิดความแห้งแล้งขนาดหนักไม่สามารถปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารอะไรได้ อียิปต์จะประสบแต่ทุพภิกขภัยอย่างหนัก อีก 7 ปี ผู้คนจะอดอยากจนถึงลืมปีที่เคยอุดมสมบูรณ์ที่ผ่านมา ส่วนที่ต้องสุบินถึง 2 ครั้ง ก็เพราะพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่าจะให้บังเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ฟาโรห์ได้สดับแล้ว ทรงเชื่อจึงทรงแต่งตั้งโยเซฟให้เป็นอัครเสนาบดี มีหน้าที่ดูแลสุขทุกข์ชาวอียิปต์ทั่วประเทศ และทรงตั้งนามใหม่ให้โยเซฟว่า ศาเฟนาทปาเนอาห์ และทรงประทานอาเสนัท บุตรีของโปทิเฟรา ปุโรหิตเมืองโอนให้เป็นภรรยา

โยเซฟเมื่อได้รับตำแหน่งแล้ว ก็ให้สร้างยุ้งฉางในที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และกาลต่อมาเหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างที่โยเซฟทำนาย ประเทศอียิปต์สมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารติดต่อกันถึง 7 ปี โยเซฟก็ให้นำธัญญาหารมาเก็บไว้ในยุ้งฉางจนเต็มทั้งหมด และเมื่อสิ้นปีที่อุดมแล้ว ความแห้งแล้งขนาดหนักก็ได้เกิดขึ้น ประชากรอดอยากมาก ก็ได้อาหารจากยุ้งฉางที่โยเซฟให้สร้างไว้ประทังชีวิตสืบต่อมา เรื่องนี้ทำให้ฟาโรห์ทรงโปรดโยเซฟมาก โยเซฟจึงรุ่งเรืองด้วยลาภยศชื่อเสียง ทำให้ชาวยิวทราบข่าวจึงพากันอพยพมาอยู่ในอียิปต์อย่างมากมาย และอยู่กันอย่างมีความสุข เพราะบารมีของโยเซฟ แต่เมื่อสิ้นโยเซฟแล้ว ชาวยิวเริ่มลำบากขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ก็เพราะฟาโรห์องค์ใหม่ไม่พอพระทัยที่เห็นจำนวนประชากรยิวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากขืนปล่อยไว้จะเป็นภัยแก่อียิปต์ จึงทรงทำให้ชาวยิวเป็นทาส เกณฑ์ให้ชาวยิวทำงานหนัก เช่นสร้างปิรามิด เป็นต้น เพื่อชาวยิวจะได้ล้มตายไปเรื่อยๆ เป็นการลดจำนวนประชากรยิวไปในตัว และยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะลดประชากรยิวอย่างได้ผลทันที นั่นก็คือ ให้ฆ่าเด็กชายชาวยิวที่เกิดใหม่ทุกคน ดังที่ฟาโรห์ตรัสว่า1 "บุตรชายเฮบรูทุกคนที่เกิดมา ให้เอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำไนล์แต่บุตรีทุกคนให้รอดอยู่ได้" การที่ฟาโรห์ให้ปล่อยเด็กหญิงไว้ก็เพื่อเมื่อเติบใหญ่จะให้แต่งงานกับชาวอียิปต์ จะเป็นการกลืนชาติยิวไปในที่สุด

ศาสนายิวถ้าจะว่าในทางวิชาการแล้วก็ว่าเกิดขึ้นในสมัยโมเสส กล่าวคือมีโมเสสเป็นศาสดา ส่วนประวัติของโมเสสจะได้กล่าวต่อไปเมื่อถึงเรื่องประวัติศาสดา ศาสนายิวเป็นศาสนาของชาวยิวมาตลอดตั้งแต่โมเสสนำมาเผยแผ่และเจริญรุ่งเรืองมากในช่วงที่ชาวยิวมีประเทศของตนเองที่แคว้นคานาอัน ชาวยิวมีประเทศอยู่สุขสบายเป็นเวลาประมาณ 700 ปี แต่ก็มีเคราะห์กรรมที่ต้องตกเป็นทาสของเขาอีก กล่าวคือเมื่อพระเจ้าโซโลมอนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาติยิวสวรรคตในปี 379 ก่อนพุทธศักราช ยิวจึงได้แตกเป็น 2 อาณาจักร อาณาจักรทางเหนือเรียกว่าอิสราเอล ส่วนอาณาจักรทางใต้เรียกว่ายูดา เมื่อแบ่งเป็น 2 อาณาจักร ยิวก็เริ่มอ่อนแอและต่อมาหลังจากสิ้นสมัยของพระเจ้าโซโลมอนแล้วได้ 200 ปี อาณาจักรอิสราเอลก็ตกอยู่ในอำนาจของอัสซีเรียในปี 178 ก่อนพุทธศักราช ชาวยิวถูกจับเป็นทาส ส่งไปทำงานในดินแดนต่างๆ ทำให้ชาวยิวสาบสูญไปเป็นอันมาก เชื่อกันว่าชาวยิวมี 12 ตระกูลได้ถูกทำลายในครั้งนั้นถึง 10 ตระกูล ส่วนอาณาจักรยูดาก็ประคองตัวมาได้อีก 135 ปี ก็ตกเป็นเชลยของบาบิโลนในปีก่อนพุทธศักราช 43 พวกบาบิโลนได้ทารุณพวกยิวมาก ทั้งได้เผาทำลายบ้านเมืองตลอดถึงวิหารในเมืองเยรูซาเล็มที่พระเจ้าโซโลมอนทรงสร้างไว้ แต่บาบิโลน ก็ปกครองยิวได้เพียง 40 ปี บาบิโลนก็ตกเป็นเมืองขึ้นของเปอร์เซียในปีที่ 3 ก่อนพุทธศักราช ชาวยิวจึงตกอยู่ในอำนาจของเปอร์เซียโดยอัตโนมัติ แต่เปอร์เซียไม่โหดร้ายต่อชาวยิวเหมือนพวกบาบิโลนชาวยิวได้รับอนุญาตให้กลับบ้านเมืองได้ ชาวยิวจึงมีโอกาสมาซ่อมแซมบ้านเมืองและสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่ชาวยิวก็มีโอกาสผ่อนความทุกข์ได้ไม่นานตกเป็นทาสของกรีกอีก เพราะเปอร์เซียรบแพ้กรีกในปี พ.ศ. 210 และนอกจากเป็นเชลยกรีกแล้ว ต่อมาก็เป็นเชลยของซีเรียและโรมันตามลำดับอีก ก็ในช่วงที่ยิวตกอยู่ในอำนาจของกรีกและโรมัน ยิวได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส โดยเฉพาะสมัยที่โรมันปกครอง ชาวยิวถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายรวมทั้งวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งที่ 2 ชาวยิวต้องกระจัดกระจายไปอยู่ในประเทศต่างๆ ได้รับความทุกข์ทรมานตลอดมา แต่ถึงกระนั้นชาวยิวก็ยังถือตัวเป็นยิว คือ เป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือก ยิวจะต้องมีประเทศของตนใหม่ และพระเจ้า จะต้องส่งคนดีมาช่วยชาวยิวอีก ความหวังเหล่านี้เป็นโอสถที่ช่วยเยียวยาชาวยิวซึ่งเป็นไข้หนักตลอดมา และช่วงใดที่ชาวยิวมีความทุกข์เดือดร้อนมากก็มักจะมีศาสดาพยากรณ์1มาช่วยบรรเทาทุกข์ในช่วงนั้น ศาสดาพยากรณ์ของยิวมีอยู่มาก อย่างเช่นช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-8 มีศาสดาพยากรณ์ที่สำคัญอยู่ 16 ท่าน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มแรกเป็นศาสดาพยากรณ์ใหญ่มี 4 ท่านคือ อิสยาห์ เยเรมีย์ เอเซเคียล และดาเนียล ส่วนอีกกลุ่มเป็นศาสดาพยากรณ์น้อยมี 12 ท่านคือ อามอส มิคาร์ โฮเซอา เศฟันยาห์ ฮะบากุก นาฮูม โยเอล โอบาคีย์ ฮักกัย โยนาร์ เศคาริยาห์ และมาลากี

ศาสดาพยากรณ์เหล่านี้ต่างก็ช่วยบรรเทาทุกข์ให้ชาวยิว เช่นให้ความหวังว่า เมสไซอาห์คือตัวแทนของพระเจ้าใกล้จะมาช่วยแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้วเป็นต้น ชาวยิวถึงแม้จะกระจัดกระจายไปอยู่ตามประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลก แต่ทุกคนถือตัวเป็นยิวและยึดมั่นในขบวนการไซโอน (Zion-movement) ว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าจะประทานแผ่นดินให้ยิวอีก เพราะยิวเป็นประชากรของพระองค์ ยิวเป็นชาติที่พระองค์เลือก และต่อมาชาวยิวก็ต้องตื่นเต้นที่เห็นหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "รัฐของชาวยิว" เขียนโดย ดร.ธีโอดอร์ เฮอซึล (Theodor Herzl) นักเขียนชาวเวียนนา ในหน้าแรกของหนังสือเล่มนั้น ดร.ธีโอดอร์ เฮอซึล เขียนไว้ว่า "ถ้าท่านตั้งใจจริง ก็จะไม่เป็นความฝันอีกต่อไป" และหลังจากหนังสือเล่มนั้นออกมาได้ 1 ปี ดร.ธีโอดอร์ เฮอซึล ได้จัดให้เปิดประชุมสากลขบวนการไซออนนิสต์ ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปรากฏว่ามีผู้แทนชาวยิวมาประชุมจากทุกมุมโลก ดร.ธีโอดอร์ เฮอซึล ได้ทำนายไว้ว่าภายใน 50 ปี หลังจาก การประชุมนั้น จะมีประเทศอิสราเอลขึ้นมาอีก และแล้วเหตุการณ์ตามคำทำนายของดร.ธีโอดอร์ เฮอซึล ก็เป็นจริง กล่าวคือ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 สภาองค์การสหประชาชาติได้ลงคะแนนสนับสนุน 33 เสียง คัดค้าน 13 เสียง และไม่ออกเสียง 10 เสียง ประกาศให้แบ่งปาเลสไตน์ ออกเป็น 2 รัฐ คือรัฐยิวและรัฐอาหรับ เพราะฉะนั้นในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ยิวจึงประกาศเอกราชเป็นประเทศอิสราเอลขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยมี เดวิด เบนกูเรียน เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นคนแรก ประเทศอิสราเอลยังยืนยงมาถึงปัจจุบันนี้ แต่กว่าจะตั้งประเทศขึ้นได้ใหม่ก็ต้องใช้เวลานานกว่า 2,000 ปี ชาวยิวถึงแม้จะมีประเทศของตนใหม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่หมดทุกข์ เพราะมีปัญหารอบด้านกับประเทศต่างๆ ใกล้เคียงตลอดทั้งปัญหาชาวปาเลสไตน์ด้วยดังที่ทราบกันอยู่แล้ว

ศาสนายิวเป็นศาสนาเอกเทวนิยม นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวคือพระยะโฮวาห์จะหันเหไปสนใจพระเจ้าอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องราวต่างๆ ในคัมภีร์พันธสัญญาเดิมหรือโตราห์ซึ่งเป็นคัมภีร์ชั้น 1 ของศาสนายูดาจึงมักมีเรื่องพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ และเรื่องพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องก็มีอยู่มากในศาสนาคริสต์ และอิสลามด้วย โดยเฉพาะในคัมภีร์อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม จะเต็มไปด้วยเรื่องพระเจ้า ทั้งนี้ก็เพราะทั้งศาสนาคริสต์และอิสลามได้วิวัฒนาการมาจากศาสนายิว ชาวยิวนอกจากจะมีศรัทธาต่อพระยะโฮวาห์ หรือ เยโฮวาห์ หรือยาห์เวห์แล้ว ก็ยังถือโตราห์เป็นธรรมนูญชีวิตอีกด้วย ชาวยิวจะใช้คำสอนในศาสนามาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตและตัดสินปัญหาต่างๆ ทำนองเดียวกับมุสลิมถืออัลกุรอานเป็นธรรมนูญชีวิต เพราะฉะนั้นศาสนายิวนอกจากจะเป็นศาสนาแล้ว ยังเป็นวิถีชีวิตของชาวยิวอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น